วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

^^คติในการดำเนินชีวิต^^



“กระแสน้ำเชี่ยว ปลาย่อมว่ายทวนน้ำ”
ทุกชีวิตต้องต่อสู่ฝ่าฟัน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
และสุดท้ายผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จ

“ผู้รู้ธรรมมะ ชอบเอาชนะคนอื่น
ผู้ปฏิบัติธรรม ชอบเอาชนะตนเอง”
ผู้นิยมเดินทางแสวงหาธรรมะในที่ต่าง ๆ มักจะลืมไปว่าแท้จริงธรรมะนั้นอยู่ที่ใจเรานั่นเอง
เพราะแค่ใจสงบก็จบซึ่งการดิ้นรนแสวงหา

“ดอกไม้สวยมีไว้ล่อแมลง”
การตัดสินใครเพียงแค่ดูรูปลักษณ์ภายนอก หรือคำหวาน
นำมาซึ่งความผิดพลาดได้โดยง่าย

 “โลกสว่างด้วยแสงไฟ ใจสว่างด้วยแสงธรรม”
ธรรมะ เปรียบดังไฟส่องนำทาง จุดหาแสงสว่างให้กับจิตใจ
ให้เรามุ่งไปให้ถูกทาง ไม่หลงไปสู่หนทางเสื่อม

“ไม้ใหญ่ย่อมเจอขวานคม”
คนเด่นต้องมีคนด่า คนมีปัญญาจึงมีคนลองดี คนทำงานดีมีคนริษยา
เป็นธรรมดา ซึ่งดีกว่าทำงานไม่ดี จึงเป็นได้อย่างดีแค่คนคอยริษยา

“อันกงเกวียนกำเกวียนหมุนเวียนไป”
กรรมเวรที่ตามมาสนองโดยไม่รู้จะสิ้นสุดที่ตรงไหน
เหมือนทำกรรมกับใครไว้อย่างไรไว้ ก็ต้องได้รับผลแบบเดียวกันนั้น

“ท่านไม่สามารถหมุนเข็มนาฬิกาให้ย้อนเวลากลับมาได้
แต่สามารถไขลานให้มันเดินใหม่ได้”
เพราะเราไม่สามารถย้อนเวลากลับคืนมาได้ แต่สามารถเริ่มต้นสิ่งดี ๆ ในวันข้างหน้าได้

“ทุกอย่างมีสองด้าน”
มีกลางวันก็ต้องมีกลางคืน มีมืดก็มีสว่าง
ทุกสิ่งทุกอย่างมีสมดุลย์ในตัวมันเอง ไม่มีใครสุขหรือทุกข์ไปตลอด

“โอกาสของผู้คิดบวก”
ผู้ที่มองโลกในแง่ดี มักมองเห็นโอกาสอยู่เสมอแม้ในช่วงเวลาอันเลวร้าย
ผิดกับผู้ที่มองโลกในแง่ลบก็พานพบแต่ความสิ้นหวัง

“อย่ากลัวที่จะผิดพลาด”
คนที่ไม่เคยพลาด คือผู้ที่ไม่ทำอะไรเลย
ความผิดพลาดในอดีตจะเป็นบทเรียนในอนาคต

“ดินไม่อวดว่ากว้าง ฟ้าไม่อวดว่าสูง”
ผู้รู้จริงไม่จำเป็นต้องอวดอ้างแสดงความฉลาดให้คนอื่นรู้

“ว่าวลอยได้เพราะต้านลม”
อุปสรรคทำให้เราแข็งแกร่ง ผู้ที่ไม่เคยต่อสู่ฝ่าฟันไม่มีวันรู้ความสามารถตนเอง
เหมือนว่าวไม่มีลมว่าวก็ตก ถ้าปล่อยตามลม ว่าวก็หลุดลอยไป

วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เพื่อนกับความรัก



กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีเกาะแห่งหนึ่งซึ่งรวบรวมความรู้สึกทั้งหมดอาศัยอยู่ด้วยกัน ทั้ง...
ความสุข ความเศร้า ความรู้ ความรัก และอื่นๆอีกมากมาย

วันหนึ่งมีประกาศไปยังความรู้สึกทั้งหมดว่าเกาะกำลังจะจมน้ำ
ดังนั้นความรู้สึกทั้งหมดจึงได้เตรียมเรือเพื่อจะหนีออกจากเกาะ
มีเพียงความรักเท่านั้นที่ตัดสินใจจะอยู่บนเกาะจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย
เมื่อเกาะเกือบจมแล้วความรักจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือ

ความรวยแล่นเรือผ่านมา และตอบว่า
"ไม่ได้หรอก ฉันรับเธอไปไม่ได้เพราะเรือของฉันเต็มไปด้วยทองและเงินแล้ว ฉันไม่มีที่ให้เธอ"

ความรักจึงถามความเห็นแก่ตัวซึ่งผ่านมาพอดี
"ฉันช่วยคุณไม่ได้หรอก คุณน่ะตัวเปียก อาจจะทำให้เรือฉันเปียกไปด้วย"

เมื่อความเศร้าลอยเรือผ่านเข้ามา ความรักจึงขอความช่วยเหลืออีกครั้ง แต่ได้รับคำตอบว่า
"โอ้ความรัก ตอนนี้ฉันกำลังเศร้ามากเลย ฉันต้องการอยู่คนเดียว ขอโทษนะ"

ความสุขได้ผ่านความรักไปแล้วเหมือนกัน แต่เข้าไม่ได้ยินแม้แต่เสียงร้องเรียกความช่วยเหลือจากความรักเพราะมัวแต่กำลังคุย

ทันใดนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา "มานี่ความรัก ฉันจะรับคุณไปเอง"
ความรักรู้สึกขอบคุณและดีใจเป็นอย่างมาก จนลืมถามว่าใครคือผู้ใจดีผู้นั้น

เมื่อเขามาถึงแผ่นดินที่แห้ง ก็จากกันไปตามทางของแต่ละคน
ความรักนึกขึ้นมาได้ว่า ลืมถามชื่อผู้ที่ช่วยเหลือเขา

ความรักจึงถามความรู้"ใครเหรอที่เป็นคนช่วยฉัน"
ความรู้ตอบอย่างภาคภูมิใจในความรอบรู้ของตนเองว่า"เวลา"
ความรักถามต่อว่า "แล้วทำไมเวลาถึงช่วยฉันล่ะ"
ความรู้จึงตอบว่า"ก็มีเพียงเวลาเท่านั้น ที่จะเข้าใจว่า ความรักนั้นยิ่งใหญ่แค่ไหน"

แต่ว่ามีสิ่งหนึ่งที่เราอาจลืมเลือนไป
ขณะที่ความรักกำลังมองหาคนช่วยออกจากเกาะ
ความรักคงยุ่งอยู่กับการมองหาผู้อื่น จนลืมมองมาที่ความเป็นเพื่อนซึ่งเลือกที่อยู่เคียงข้างความรักตั้งแต่แรกแล้ว
เพราะความเคยชินความรักจึงมองไม่เห็นความสำคัญของความเป็นเพื่อน

ในขณะที่ความรักจากไปพร้อมเวลา
ความเป็นเพื่อนรู้สึกดีใจมากที่ความรักปลอดภัย
และแม้จะต้องห่างกัน แต่ความเป็นเพื่อนกลับรู้สึกเป็นสุข
เพราะความเป็นเพื่อนรู้ดีว่า แม้เกาะนี้จะจมลงไปชั่วนิรันดร์
แต่ความเป็นเพื่อน จะยังเป็นอมตะในใจของความรักตลอดไป
แม้จะไม่ยิ่งใหญ่ แต่จะอยู่เคียงข้างความรักเสมอ

ความเป้นเพื่อนรู้ดีว่า ตนไม่จากไปเหมือนกาลเวลา

ความเป้นเพื่อนรู้ดีว่า ตนไม่รังเกียจกันเหมือนความเห็นแก่ตัว

ความเป้นเพื่อนรู้ดีว่า ตนไม่แบ่งชั้นกันเหมือนความรวย

ความเป้นเพื่อนรู้ดีว่า ตนไม่อ้างว้างเหมือนความเศร้า

และความเป้นเพื่อนรู้ดีว่า ตนไม่เปลี่ยนแปลงเหมือนความสุข

ทั้งนี้เพราะ ความเป็นเพื่อนจะอยู่ในใจตลอดไป

กฎน่ารักๆ ที่ทำให้คุณยิ้มได้



เหตุการณ์รอบตัวบ่อยครั้งทำให้นึกน้อยใจในโชคชะตา
เพราะมันมักเลวร้ายกว่าที่ควร

เช่น ขับรถมาเป็นสิบปีไม่เคยชนอะไร แต่พอถูกขอร้องให้ถอยรถเพื่อน
ออกจากซอยไม่ถึง 30 เมตร กลับชนเสาไฟฟ้าโครมใหญ่

เหตุการณ์เลวร้ายเกิดเหมือนสวรรค์แกล้งนี้ เกิดบ่อยกับทุกคน
จนมีผู้ตั้งเป็นกฎไว้ เรียกว่า กฎของเมอร์ฟี่ ความว่า
ถ้ามันเคยผิดพลาด มันก็จะผิดซ้ำอีก

นอกจากกฎของเมอร์ฟี่ ยังมีกฎอื่นๆ ที่มีผู้สังเกตพบมากมาย

จึงรวบรวมไว้ดังนี้

กฎความเป็นไปได้
ขนมปังทาเนยที่พลัดตกพื้น จะเอาหน้าด้านที่มีเนยคว่ำลงเสมอ
และโอกาสที่เนยตกเปื้อนพรม จะมีมากขึ้นเป็นสัดส่วนกับราคาของพรม



การดูดวง
หมอดูมักทายหลายเรื่องทั้งดีและเลว
แต่เรื่องที่แม่นที่สุดคือเรื่องที่เลวที่สุด



กฎแห่งความแม่นยำ
หากขว้างก้อนหินสะเปะสะปะ มันจะพุ่งตรงเข้าหาวัตถุที่มีราคาแพงที่สุด



กฎของหาย
ของใช้ที่เราเห็นทุกวันจะหายต่อเมื่อเราต้องการใช้มัน



กฎของเมธี
เลขเด็ดที่เราไม่ซื้อ คือเลขที่จะออกงวดนั้น
และหวยที่เราซื้อมักใกล้เคียงกับหวยที่ออก
หากได้บวกลบคูณหารด้วยเลขอะไรสักตัว หรือกลับหน้ากลับหลัง
แต่ถ้าเราซื้อเลขกลับ มันจะออกเลขตรง
และถ้าเราซื้อทั้งสองแบบมันจะไม่ออกเลย



กฎแรงโน้มถ่วง
วัตถุ 2 ชิ้นน้ำหนักไม่เท่ากัน จะตกถึงพื้นด้วย
ความเร็วขนาดที่ทำลาย ทรัพย์สินได้มากที่สุดเท่าๆกัน



ข้อพิจารณาในการเลือกซื้อหนังสือ
หนังสือปกสวย เนื้อในมักห่วย
หนังสือปกขี้เหร่ เนื้อในห่วยกว่า



กฎห้ามพูด
คนไทยรู้จักกฎนี้ดี จนมีสุภาษิตว่า "เข้าป่าอย่าเรียกหาเสือ"
กฎมีว่า ทันทีที่คุณพูดแสดงความคาดหวัง
ถ้าหวังสิ่งเลวสิ่งเลวจะมาหา
และถ้าหวังสิ่งดี สิ่งเลวก็จะมาหา



กฎของโฮว์ (Howe's Law)
มนุษย์ทุกคนมักจะทำอะไรไม่สำเร็จ



กฎของไซเมอร์กี้
ถ้าคุณรื้อชิ้นส่วนออกมาประกอบใหม่จะมีน็อตเหลือเสมอ



ข้อสังเกตของอีตัวร์
รถเลนข้างๆ มักเคลื่อนตัวดีกว่าเลนของเรา



กฎการแก้ปัญหา
ในปัญหาใหญ่ๆ ที่เป็นอุปสรรคให้เราแก้ มักมีปัญหาเล็กๆ อยู่ภายใน
ซึ่งพร้อมจะขยายตัวแทนที่ทันทีที่ปัญหาใหญ่ได้รับการแก้ไขลุล่วง



กฎทอง
คนมีทองคือคนออกกฎ



ธรรมชาติของมนุษย์
มนุษย์เรามีสองประเภท
ประเภทแรก คือ คนที่ชอบแยกคนเป็นสองจำพวก
ประเภทที่สอง คือ คนที่รังเกียจพวกแรก



กฎยิ่งน้อยยิ่งดีของซีกัล
คนที่มีนาฬิกาเรือนเดียว จะรู้เวลาแน่นอน
คนที่มีนาฬิกาเพิ่ม มาอีกเรือน จะไม่แน่ใจว่า เวลาใดถูกต้อง



กฎการใช้เวลาเหลื่อมล้ำ
การเริ่มต้นงานเป็นสิ่งยาก
เพราะงาน 90 % แรก จะกิน เวลาไปถึง 90% ของเวลาในโครงการ
ส่วนงาน 10% ที่เหลือจะกินเวลาอีก 90% ของเวลาในโครงการ



กฎของโอ'รีลลี
สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ในโลกนี้ คือ การทำโต๊ะทำงานให้สะอาด



กฎของลีเบอร์แมน
นักการเมืองทุกคนโกหก แต่ไม่เป็นไรเพราะไม่มีใครฟังใคร



กฎน้ำพริกถ้วยเก่า
เสื้อผ้าตัวเก่งจะเก่าซอมซ่อทันทีที่เราได้ตัวใหม่



ข้อเท็จจริงขององค์กร
ในทุกหน่วยงานมักมีพนักงานคนหนึ่งและคนเดียว
ที่มองเห็นปัญหาที่แท้จริงขององค์กร และคนๆ นี้จะถูกไล่ออกเสมอ



กฎการโต้เถียง
คนที่พูดน้อยคือคนที่รู้มาก



กฎการทำงานเป็นทีม
เมื่องานยุ่งยาก ทุกคนผละหนี



กฎการมองโลก
มนุษย์สามสิบคนในร้อยคน ชอบมองโลกในแง่ร้าย
ที่เหลือมองร้ายกว่า

คําบางคํา เพื่อกําลังใจ


เพียงแค่ คำบางคำที่คุณเอ่ย...
อาจมีผลทำให้คนที่คุยกำลังสนทนาอยู่ด้วย
รักหรือเกลียดคุณเลยก็ได้ เอ๊ะ ! ยังไงกัน
คุณเคยสังเกตุบ้างรึเปล่า ?
ว่าในบางครั้ง คนที่คุณคุ้นเคย สนิทชิดเชื้อกันมานานบัดนี้
เค้ากำลังทำท่าทางเหมือนกับไม่อยากจะพบคุณเอาซะเลย
หลบได้เป็นหลบ หลีกได้เป็นหลีกบางทีอาจเป็นเพราะ เจ้าคำ...บางคำ
ที่คุณเอ่ยออกไปโดยที่มิได้ฉุกคิดนี่ละ

คือเจ้าตัวสาเหตุของปัญหายกตัวอย่างง่ายๆ
สมุมติว่าวันนี้เพื่อนคุณสวมเสื้อตัวใหม่มาทำงาน
แต่เผอิญว่าเจ้าเสื้อตัวใหม่ของเพื่อนคุณนะ
มันช่างไม่เหมาะสมกับเพื่อนคุณเอาซ่ะเลย
คือดูยังไงก็น่าเกลียด คุณก็แสนดีเป็นคนตรงไปตรงมา
คิดยังไงก็พูดออกไปอย่างนั้น (อย่างงี้เค้าเรียกว่าคนตรง)
โดยที่คุณไม่ทันยั้งคิดว่า เพื่อนคุณจะรู้สึกอย่างไร
คุณก็พูดกับเค้าไปตรงๆ แทนที่จะอ้อมๆ
รักษาน้ำใจก็ดั้นไปพูดกับเพื่อนคุณตรงๆ
จนทำให้วันต่อมาเพื่อนคุณหายไปจากวงจรชีวิตของคุณไปซ่ะดื้อๆ

ในบางครั้งคนเราก็ไม่สามารถที่จะพูดความจริงได้ทั้งหมด
และการที่เราไม่พูดความจริง ออกมาทั้งหมดนั้น
ก็มิได้หมายความว่าเราเป็นคนโกหก
แต่มันกลับเป็นการรักษาน้ำใจอย่างหนึ่งของเพื่อนร่วมงาน
และบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดคุณ คุณลองคิดดูซิว่า
ถ้าเกิดวันหนึ่งหมอเกิดพูดความจริงกับคนไข้
ที่อาการสาหัส จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้
ว่า "คุณคงไม่รอดแล้วละ " กับ แทนที่จะพูดว่า
"คุณไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็กลับบ้านได้แล้วละ"
(จะเป็นบ้านเก่า หรือบ้านใหม่ค่อยว่ากันอีกที)
บางครั้งคำพูดที่หมอบอกกับคนไข้นั้น......
มันสามารถทำให้คนไข้เสียชีวิตหรืออยู่รอดในวินาทีนั้นเลยก็ได้

ดังนั้นก่อนที่คุณจะเอ่ยคำใดออกไป ควรที่จะหยุดคิดสักนิดนึง
เพราะคนเราทุกคนอยู่ได้ด้วยกำลังใจ คุณก็คงจะเป็นคนหนึ่ง
ที่ต้องการกำลังใจจากคนรอบข้างเช่นกัน.....
เมื่อใดที่คุณต้องการกำลังใจจากผู้อื่น
คุณควรเป็นผู้ให้กำลังใจแก่ผู้อื่นเสียแต่วันนี้

อย่าตกใจ โลกไม่แตกเพราะภัยธรรมชาติในขณะนี้หรอก

ดร.โสภณ พรโชคชัย

   ช่วงนี้มีภัยธรรมชาติเกิดขึ้นมากทั้งแผ่นดินไหว สึนามิ วาตภัย อุทกภัย  แม้แต่หิมะตกที่เมืองตากอากาศซาปาของเวียดนาม บางคนก็หลงเข้าใจผิดว่าตกเป็นครั้งแรกหรือตกหนักที่สุด  บางคนเข้าใจว่านี่คือสัญญาณเตือนว่าโลกใกล้แตก  มีการโหมกระแสกลัวโลกแตกกันใหญ่  จนบางคนอาจตกเป็นเหยื่อของพวกอวิชชา หรือนักลัทธิอุบาทว์ซึ่งอาจทำลายชีวิตผู้คนไปมากกว่าภัยธรรมชาติก็เป็นได้
   ภัยพิบัติข้างต้นได้คร่าชีวิตผู้เป็นที่รัก และก่อให้เกิดการสูญเสียมากมายก็จริง  แต่ยังไม่อาจเทียบกับภัยธรรมชาติในอดีตที่หากเกิดขึ้นในวันนี้  บางคนอาจถึงขั้นช็อคตาย หรือฆ่าตัวตายไปเลย  ยกตัวอย่างเช่นภูเขาไฟกรากะตัว ซึ่งระเบิดเมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ.2426 หรือ 128 ปีก่อนหน้านี้ในสมัยรัชกาลที่ 5  พื้นที่สองในสามของเกาะหายไปจากแรงระเบิด  เถ้าธุลีลอยสูงขึ้นไปถึง 80 กิโลเมตร (ปกติเครื่องบิน ๆ สูงราว 10 กิโลเมตร)  ในรัศมี 240 กิโลเมตร ปกคลุมจนมองไม่เห็นแสงอาทิตย์จนคล้ายยามค่ำคืนเป็นเวลาถึง 3 เดือน
   แรงสั่นสะเทือนสามารถตรวจจับได้ถึงอังกฤษ  เสียงระเบิดดังกึกก้องมากจนคนในกรุงจาการ์ตาที่อยู่ห่างไป 150 กิโลเมตรยังต้องเอามืออุดหู  คนในกรุงเทพมหานครยังนึกว่าเป็นเสียงปืนใหญ่  แม้แต่คนบนเกาะโรดริเกซในหมู่เกาะมอริเชียส ซึ่งตั้งอยู่ห่างไปถึง 4,776 กิโลเมตรก็ได้ยินเช่นกัน  ที่สำคัญการระเบิดยังทำให้เกิดคลื่นสึนามิสูง 30 เมตร  ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 36,000 คน  หากเป็นในสมัยปัจจุบันที่มีประชากรหนาแน่น คงสูญเสียชีวิตนับสิบ ๆ ล้านคน
   อย่างไรก็ตามยังมีเหตุการณ์ที่ร้ายแรงกว่านี้ จนกรากะตัวกลายเป็นเรื่องเล็ก  นั่นก็คือการระเบิดของภูเขาไฟแทมโบร่าซึ่งตั้งอยู่บนเกาะซุมบาวาใกล้เกาะบาหลี เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2358  หรือเมื่อ 196 ปีที่แล้วในสมัยรัชกาลที่ 2  ความรุนแรงนั้นเท่ากับการระเบิดของปรมาณู 60,000 ลูก  หลังระเบิดเหลือสภาพเป็นหลุมกว้าง 6 กิโลเมตร ลึก 1 กิโลเมตรในปัจจุบัน  เกิดฝุ่นละอองมากกว่าการระเบิดของภูเขาไฟกรากะตัวถึง 7 เท่า  ว่ากันว่าต้นไม้ล้มระเนระนาดคล้ายกับโลกทั้งโลกจะพังทลายลงในพริบตา
   พื้นผิวโลกได้รับพลังงานจากแสงอาทิตย์น้อยลงถึง 20 เปอร์เซ็นต์เพราะ ชั้นบรรยากาศของโลกเต็มไปด้วยฝุ่นละอองจนอุณหภูมิของโลกลดลงอย่างมาก  นักวิทยาศาสตร์เคยพบว่าน้ำแข็งชั้นล่างบนเกาะกรีนแลนด์ในซีกโลกเหนือยังมีฝุ่นละอองจากภูเขาไฟนี้อยู่มากมาย  ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือไม่มีเวลากลางวันเป็นเวลาหลายสัปดาห์ เพราะถูกฝุ่นละอองภูเขาไฟบดบังแสงอาทิตย์ไว้ และทำให้ไม่มีฤดูร้อนในปีนั้น
   ในห้วงนั้นยังมีเหตุการณ์ภูเขาไฟระเบิดรุนแรงเป็นชุด ๆ ทั่วโลก เช่น ภูเขาไฟลาซูฟรีในหมู่เกาะแคริเบียน และภูเขาไฟอะวูเหนือเกาะสุลาเวสี ในปี 2355  ภูเขาไฟสุวาโนเซจิมา ใกล้หมู่เกาะโอกินาวา ในปี 2356 และภูเขาไฟมายอนในฟิลิปปินส์ ในปี 2357  ลองคิดดูว่าถ้าเกิดในวันนี้ ผู้คนคงสิ้นหวัง ฆ่าตัวตายไปมากมายนัก  ยิ่งถ้ามีสื่อมวลชนเล่นข่าวเอามัน ก็คงยิ่งไปกันใหญ่
   ในโลกนี้ยังมีการระเบิดของสุดยอดภูเขาไฟ (Super Volcano) เช่นที่อุทยานแห่งชาติเยลโลสโตนในสหรัฐอเมริกา  แต่ครั้งล่าสุดเกิดขี้นที่ภูเขาไฟโทบา ทางตอนเหนือของเกาะสุมาตราใกล้กับประเทศไทย เมื่อประมาณ 75,000 ปีที่ผ่านมา  โดยลาวาพุ่งไปไกลกว่า 3,000 กิโลเมตรถึงภาคใต้ของอินเดีย  อุณหภูมิเฉลี่ยทั่วโลกลดต่ำลงกว่า 5 องศา  เหตุการณ์นี้ทำให้โลกเข้าสู่ยุคน้ำแข็ง  หลังจากการปล่อยเถ้าถ่าน 2,800 ลูกบาศก์กิโลเมตร พื้นที่ของภูเขาไฟโทบาได้กลายเป็นทะเลสาบที่ใหญ่และสวยงามมากที่สุดในเอเชียอาคเนย์  แต่การระเบิดระดับสุดยอดภูเขาไฟนี้ก็ไม่ได้ทำให้มนุษยชาติถึงขนาดสูญพันธุ์ แม้มีความเสี่ยงอยู่
   ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ยังไม่ใช่สัญญาณล้างโลกหรือจะทำให้โลกแตกอย่างที่เล่าลือเมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในอดีต  คนเราจึงไม่พึงหวาดกลัวจนเกินไป  แต่พึงมีสติ  คาดว่าเหตุการณ์มหาประลัยจริง ๆ คงไม่เกิดในชั่วชีวิตนี้  แต่ถึงแม้เกิดเหตุร้าย จนต้องสิ้นชีวิต เราก็ไม่พึงเสียเวลากลัว เพราะไม่มีใครหนีพ้นความตายดังกล่าว
   ความตายเป็นเรื่องธรรมดา สำคัญที่ว่าจะตายอย่างขนนก (เบาหวิวไร้ความหมายเพราะไม่เคยสร้างสรรค์อะไร แถมบางคนยังอาจทำลาย เอาดีใส่ตัว) หรือจะตายหนักแน่นดุจภูเขาเพราะตายมีเกียรติเพื่อประชาชนและประเทศชาติ